เอเชีย 3 พลัส เจาะถึงกึ่งกลางใจผู้บริโภค
ทำไม Asia 3 Plus จึงทำให้ยอดเบี้ยประกันของ บริษัท เอเชียประกันภัย จำกัด เพิ่มขึ้นจาก 470 ล้านบาทในปี 2549 เป็น 1,100 ล้านบาทในปี 2550
ใคร ๆ ก็ไม่ทำประกันภัยรถยนต์ : ใน ประเทศไทยมีรถยนต์วิ่งขวักไขว่อยู่ในท้องถนนถึง 10 ล้านคัน แต่มีเพียง 3 ล้านคันเท่านั้นที่มีการทำประกัน โดยส่วนใหญ่เป็นการทำประกันชั้น 1 ซึ่งถูกบังคับให้ทำตั้งแต่ตอนซื้อรถใหม่แล้วต้องกู้เงินจากไฟแนนซ์ ส่วนที่เหลือเป็นการทำประกันชั้น 3 เพราะเสียค่าเบี้ยประกันถูกกว่า แต่ก็ดูจะไม่ค่อยตรงใจผู้บริโภคนัก เพราะเป็นประกันที่ไม่ให้ความคุ้มครองกับรถของผู้เอาประกัน ทำให้เจ้าของรถต้องจ่ายเงินซ่อมรถตัวเอง หากเกิดอุบัติเหตุขึ้นแล้วตัวเองเป็นฝ่ายผิด
เบี้ยประกันไม่แพง แต่ซ่อมให้ด้วย : จำนวน ลูกค้าที่มีอยู่ในตลาดมากมายเช่นนี้ ทำให้ บริษัท เอเชียประกันภัย จำกัด มองหาช่องทางในการแนะนำสินค้าใหม่เข้าสู่ตลาด เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้รถที่ไม่ยอมทำประกันทั้งชั้น 1 เพราะมองว่าแพงไป และชั้น 3 ที่มองว่าไม่คุ้ม จนสุดท้ายก็ออกมาเป็น เอเชีย 3 พลัส ประกันภัยชั้น 3 รูปแบบใหม่ซึ่งอยู่ระหว่างประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 และชั้น 3 โดยมีเจ้าของรถยนต์อายุ 25-50 ปี ที่มีรายได้ระดับซีขึ้นไป พักอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯและเขตเมือง ซึ่งต้องใช้รถยนต์ในการเดินทางทุกวัน และมองหาสินค้าที่มีความคุ้มค่าเงิน เป็นกลุ่มเป้าหมายสำคัญ
โดย จุดเด่นที่แตกต่างของ เอเชีย 3 พลัส คือ จ่ายเบี้ยประกันไม่แพงเพียง 6,800 บาทต่อปี แต่ให้ความคุ้มครองทั้งรถผู้เอาประกันและรถของคู่กรณี โดยจะจ่ายค่าซ่อมรถให้ผู้เอาประกันสูงสุดครั้งละ 100,000 บาท ซึ่งสาเหตุที่ เอเชียประกันภัย กล้าให้ตรงนี้ เพราะรู้ดีว่าอัตราการเสียหายที่ต้องจ่ายถึง 1 แสนบาท มีเพียงแค่ 10% เท่านั้น
นอก จากนี้ยังเป็นประกันภัยที่ไม่ยุ่งยาก เพราะไม่จำกัดอายุรถ รวมถึงไม่ต้องมีการตรวจสภาพรถก่อนทำประกัน และให้ความคุ้มครองทันทีที่พนักงานใส่ข้อมูลลงไปในระบบออนไลน์เรียบร้อย
ขณะ ที่ เอเชียประกันภัย ก็มองว่าแม้จะเป็นรูปแบบการประกันภัยที่อาจจะมีกำไรน้อย แต่น่าจะทำให้เจ้าของรถสนใจซื้อประกันภัย เอเชีย 3 พลัส จำนวนมาก
โฆษณาถึงกลุ่ม : ในขณะที่บริษัทประกันภัยรายอื่น ๆ มักใช้บริการที่น่าเชื่อถือของบริษัทเป็นจุดเด่นในการโฆษณา แต่ด้วยผลิตภัณฑ์ที่แตกต่าง ทำให้ เอเชียประกันภัย นำเอาจุดเด่นของ เอเชีย 3 พลัส มาเป็นตัวนำในการวางกลยุทธ์การตลาด โดยในส่วนของการสื่อสารผ่านสื่อ ซึ่งมีโทรทัศน์และหนังสือพิมพ์เป็นสื่อหลักนั้น ได้เน้นในเรื่องราคาที่ไม่แพง และการให้ความคุ้มครองกับรถของผู้เอาประกัน
นอกจากนี้ยังมีการเปิดช่องทางการตลาดใหม่ ด้วยการเปิดจุดบริการที่เรียกว่า Asia Insurance Center ขึ้น ที่สถานีรถไฟฟ้าชิดลม สำหรับเป็นศูนย์ให้คำปรึกษา และจำหน่ายประกันทุกประเภท โดยผู้ซื้อสามารถรอรับกรมธรรม์ได้เลยและได้รับความคุ้มครองทันที เพราะ เอเชียประกันภัย มองว่ากลุ่มเป้าหมายส่วนหนึ่งของ เอเชีย 3 พลัส ใช้บริการรถไฟฟ้าในการเดินทางระหว่างวันเพื่อติดต่อธุรกิจ เพื่อความสะดวกและรวดเร็ว การเปิดจุดบริการในสถานีรถไฟฟ้าจึงน่าจะเป็นช่องทางการตลาดที่ทำให้ เอเชีย 3 พลัส สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ดียิ่งขึ้น
ผลลัพธ์เกินคาด : หลัง จากที่หนังโฆษณาทางโทรทัศน์ออกอากาศวันแรก มีผู้สนใจโทรศัพท์เข้ามาสอบถามข้อมูลของ เอเชีย 3 พลัส เพิ่มขึ้นเป็น 300 รายจากเดิมที่จะมีลูกค้าโทรเข้ามาเพียง 20 ราย ขณะที่ยอดขายของ เอเชีย 3 พลัส ก็เพิ่มขึ้นจากวันละ 120 กรมธรรม์ เป็น 300 กรมธรรม์ ส่งผลให้ยอดเบี้ยรับรวมของบริษัทเอเชียประกันภัย เพิ่มขึ้นจาก 470 ล้านบาทในปี 2549 เป็น 1,100 ล้านบาทในปีนี้ และกลายเป็นผู้นำในธุรกิจประกันภัยแบบพิเศษ ที่ทำให้คู่แข่งออกบริการที่มีลักษณะใกล้เคียงกันออกมาอีกกว่า 20 บริษัท โดยยึดเอาผลประโยชน์ของ เอเชีย 3 พลัส เป็นหลักในการนำเสนอเบี้ยประกันที่หลากหลาย และให้ความคุ้มครองในการซ่อมรถมากขึ้น
สำหรับ ปีหน้า เอเชียประกันภัย มีแผนที่จะปรับปรุงการบริการของ เอเชีย 3 พลัส ให้ดียิ่งขึ้น เช่น เพิ่มบริการสอบถามเมื่อเกิดรถเสียแล้วไม่ทราบว่าจะนำรถเข้ารับการบริการที่ ไหน รวมถึงบริการฮ็อตไลน์ทนาย 24 ชั่วโมง ทั้งนี้เพื่อทำให้บริษัทมีรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 1,800 ล้านบาท
ที่มา: http://www.marketeer.co.th
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
คุุณเห็นด้วยกับข่าว,บทความนี้หรือไม่?